ล่ามสาวร้องสื่อถูก สว.ขู่ฆ่าปมเงินสี่ล้านประกันตัวชาวเกาหลี

          เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 น.ส.อติพร (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ล่ามแปลภาษาต่างประเทศ เดินทางมาร้องเรียนกับสื่อมวลชน หลังถูกนายตำรวจยศ สารวัตรของ สภ.บางละมุง ข่มขู่หมายจะเอาชีวิต หลังทวงถามเงินสี่ล้านบาท ที่นำไปใช้ดำเนินการประกันตัวคดีของผู้ต้องหาสาวชาวเกาหลี เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด เข้าเมืองโดยไม่รับอนุญาต และต้องสงสัยเป็นกลุ่มผู้กระทำผิดในแก๊งวอย ฟิชชิ่ง หรือแก๊งแฮกเงินข้ามชาติ
         โดยก่อนเกิดเหตุนั้น น.ส.อติพร ถูกเรียกตัวไปช่วยแปลภาษาให้ระหว่างสารวัตร กับผู้ต้องหาชาวเกาหลี กระทั่งไปสู่ขั้นตอนของกระบวนการวิ่งเรื่องยื่นประกันตัว แต่ต้องอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และฝากขังที่ สภ.บางละมุง ในระยะที่ฝากขังนั้นตนเองก็ได้รับว่าจ้างให้มาเป็นล่ามแปล ส่งข้าว ค่อยอำนวยความสะดวก อนุญาตให้ตนเองเข้าออกห้องขังได้ปกติ จนวันที่ 11 สิงหาคม ได้รับแจ้งว่าผู้ใหญ่อนุมัติให้ทำเรื่องประกันตัวได้แล้ว แต่ต้องมีเงินสี่ล้านบาท แต่ผู้ต้องหามีเงินอยู่ในต่างประเทศ
           ด้านสารวัตรขอให้ตนเองช่วยหาบัญชีเพื่อแลกเงินให้กับผู้ต้องหา ตนเองก็ไปติดต่อหาบัญชีธนาคารมาให้ แต่กลับมีเงินเข้าในบัญชีแปลงเป็นเงินไทยประมาณ สิบล้านบาท ตนเองรู้สึกแปลกใจจึงไปสอบถามกับผู้ต้องหาได้ให้คำตอบว่าไม่เป็นไร ก่อนที่ตนเองจะโอนเงินเข้าบัญชีของบุคคลที่สามซึ่งเป็นบัญชีของเพื่อนแฟนสาวของสารวัตร จะได้ไม่เดือดร้อนถึงตัวเอง รวมทั้งสิ้นสี่ล้านเจ็ดหมื่นบาท ไม่นานปรากฏว่าบัญชีทั้งหมดที่มีเงินเข้าถูกอายัดทั้งหมด โดยผู้ต้องหาอ้างว่าไม่ต้องตกใจ สามีที่เกาหลีแกล้ง ไม่ต้องกังวล
          ต่อมาได้พาตัวผู้ต้องหาชาวเกาหลีประกันตัวสำเร็จ ออกจากห้องขัง แล้วเดินทางไปอยู่ที่บ้านของสารวัตร และเรียกตนเองกับพี่สาวไปพบเพื่อเคลียร์เงินกัน ซึ่งตัวสาวชาวเกาหลีก็พยายามโทรหาเงินกลับมาคืน แต่ก็ไม่มีใครส่งเงินมาให้ ทำให้สารวัตรคนดังกล่าวเกิดความโมโหถึงขั้นหยิบปืนขึ้นมาพร้อมขู่สาวเกาหลี ว่าถ้าหาเงินมาคืนไม่ได้จะยิงทิ้ง ทำให้สาวเกาหลีเกิดความกลัวนั่งร้องห่มร้องไห้ ไม่นานสามีของชาวเกาหลีก็ได้ติดต่อมาบอกกับภรรยาว่าจะไปแจ้งที่สถานทูต ทำให้สารวัตรเกิดความโมหาอย่างมาก จึงไล่ตนเองและพี่สาวกลับ
           กระทั่งรุ่งเช้าอีกวันได้ติดต่อไปสอบถามเรื่องเงินกับสารวัตร ก็ได้นัดเจรจากันที่ สภ.บางละมุง แต่ก็ไม่สามารถตกลงได้ ทำให้สารวัตรคนดังกล่าวโวยวายจะไม่รับผิดชอบเรื่องเงิน พร้อมข่มขู่ตนเองและพี่สาว ว่าหากมาเหยียบบางละมุงอีกจะเอาปืนยิงหัวมึง สร้างความแตกตื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนายอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง จากนั้นสารวัตรคนนี้ยังเรียกตำรวจยศผู้กองเข้ามาพร้อมกำชับห้ามตนเองและพี่สาวมาเหยียบโรงพักหากเจอให้ยิงทิ้งได้เลย ตนเองรู้สึกว่าเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง ประกอบกับกลัวพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่นายนี้ จึงกลับออกมา
จนกระทั่งผ่านมาประมาณ 2 สัปดาห์ผู้หญิงชาวเกาหลีได้ติดต่อกลับมาอีกครั้ง เพื่อขอไกล่เกลี่ย แต่ห้ามไปแจ้งความเด็ดขาด ตนเองก็รอแต่แล้วก็เงียบหายไป จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ แต่ก็ยังไม่ทำให้สารวัตรลดละ กลับข่มขู่คนรอบข้างของตนเองตลอด ซึ่งตนเองคิดว่าไม่ปลอดภัยกับชีวิตเลยทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายสูญเสียเงินไป ส่วนเงินที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็ถูกดูดกลับคืนไปทั้งหมด ตนเองเชื่อว่าผู้ต้องหารายนี้เกี่ยวข้องกับแก๊งวอย ฟิชชิ่ง หรือแก๊งแฮ๊กเงินข้ามชาติ นอกจากนี้ยังเชื่อว่านายตำรวจท่านนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและปล่อยเงินกู้ด้วย
            อย่างไรก็ตามตนเองต้องการความปลอดภัยในชีวิต อยากให้มีคนกลางมาช่วยเจรจาให้ได้รับเงินคืน ส่วนการกระทำของนายตำรวจท่านนี้นั้น ตนเองมองว่าไม่มีความยุติธรรมเลย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด และไม่สมควรที่จะมาข่มขู่ประชาชนเช่นนี้
Subscribe
Advertisement