อ้างเป็นรองผู้การ โทรรีดเงินเคลียร์คดีร้านถูกจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.เหยื่อหลงเชื่อถูกหลอก

 

           จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ ได้ทำการจับกุมสถานประกอบการ ในฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี ทำให้เจ้าของร้าน รวมไปถึงลูกค้า ถูกควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายไปหลายร้านในช่วงที่มีประกาศคำสั่งมาตรการควบคุมโรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
           ล่าสุดเมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 30 พฤษภาคม 2564 นายประกอบ ชลศรานนท์ หรือเสี่ยฮั้ว เจ้าของสถานบันเทิง แอดไทม์ ที่เคยถูกจับกุมดำเนินดดี ในฐานความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.อมรเทพ เพชรทิม รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา พร้อมกับได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากทางร้านถูกจับดำเนินคดี ได้มีนายตำรวจท่านหนึ่ง ติดต่อมาให้รับโทรศัพท์จากปลายสายซึ่งอ้างว่าเป็นรองผู้การ ชื่อเล่น “เดย์” ติดต่อมาเจรจาจะช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องคดีความให้ โดยจะมีค่าดำเนินการประมาณ 90,000 บาท รวมค่าปรับ ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เมื่อพูดคุยรายละเอียดกันก็เกิดหลงเชื่อ จึงตัดสินใจโอนเงิน 90,000 บาทให้ไป แต่หลังโอนเงินแล้ว กลับติดต่อไม่ได้ และไม่มีการดำเนินการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อสอบถามจากนายตำรวจที่ติดต่อมาว่า คนที่โทรมาใช่รองผู้การจริงไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่ทราบเหมือนกัน จึงมั่นใจว่าถูกหลอกแน่ จึงเดินทางเข้าแจ้งความดังกล่าว ซึ่งตนเองก็รู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในสภาวะที่เศรษฐกิจเช่นนี้
         ส่วนอีกรายคือนายวัฒนะ มีสุธา อายุ 49 ปี หรือเสี่ยเก่ง เจ้าของร้านสกาย เมาน์เท่น แหลมบาลีฮาย ซึ่งถูกจับกุมในฐานความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.และฝ่าฝืนคำสั่งคณะโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี เมื่อกลางดึกของวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ร้านถูกจับแล้ว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีเบอร์แปลกโทรศัพท์เข้ามา โดยปลายสายอ้างตัวว่าเป็นรองผู้การ ชื่อเล่นว่า “ต้น” จะเข้ามาช่วยเคลียร์ไกล่เกลี่ยคดีให้ แต่จะต้องมีค่าใช้จ่าย มีกำลังที่จะจ่ายได้เท่าไหร่ ตนเองขอคิดทบทวนแล้วจะติดต่อกลับ แต่เบอร์เดิมได้โทรเข้ามาหลายสาย จึงตัดสินใจตอบตกลงไป ว่ามีเงินประมาณ 40,000 บาท ปลายสายก็บอกว่าจะต้องกลับไปเคลียร์กับทีมงานก่อน พร้อมสอบถามตนเองว่าเงินพร้อมโอนไหม ตนเองได้สอบถามว่าให้ลูกน้องเอาเงินไปให้ได้หรือไม่ ปลายสายได้ตอบกลับมาว่าไม่ได้เพราะมีกล้องวงจรปิด เมื่อพูดคุยรายละเอียดกันหลายรอบ จึงตัดสินใจตกลงจะจบที่ 40,000 บาท ก็ได้โอนรอบแรกไป 10,000 บาท และรอบที่สองอีก 30,000 บาท ซึ่งขณะที่พูดคุยกันนั้นตนเองได้อัดเสียงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยในคลิปยังอ้างอีกว่าไม่ต้องกังวล ทั้งบอกชื่ออีกว่า พ.ต.อ.เสมา อยู่ในพื้นที่พัทยา ชลบุรี หลังได้เงินไปแล้วยังมีการพูดคุยกันต่อ ว่าหากจบเรื่องแล้วจะไปรับประทานอาหารกัน แต่หลังจากนั้นตนเองได้โทรติดต่อกลับไป แต่ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ ซึ่งตนเองนั้นหลงเชื่อเพราะคิดว่าปลายสายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง
          ทั้งนี้ได้แจ้งความร้องทุกข์ พร้อมทั้งมอบคลิปเสียง สลิปการโอนเงินให้กับ ร.ต.ท.อมรเทพ เพชรทิม รอง สว.สอบสวน เจ้าของคดี ไว้เป็นหลักฐานแล้ว นอกจากนี้ยังขอฝากเตือนกลุ่มผู้ประกอบการทั้งหลาย ว่าอย่าไปหลงเชื่อขบวนการพวกนี้โดยเด็ดขาด ให้มาติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีพื้นที่เท่านั้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมกลุ่มผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก แม้ทางร้านจะกระทำผิดฝ่าฝืนก็ตาม แต่ทางร้านก็ยอมรับผิดและถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว แต่กลับมาถูกขบวนการมิจฉาชีพ ซึ่งมีข้อมูลของเจ้าของร้านที่ถูกจับ ทั้งชื่อและเบอร์โทร จนกระทั่งมาก่อเหตุต้มตุ๋น จนได้รับความเสียหายสูญเสียเงิน จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ก่อนที่จะไปหลอกผู้ประกอบการรายอื่นอีก

 

Subscribe
Advertisement